Wednesday 29 September 2010

พิจารณา South bridge & North bridge


ประเด็นนี้มาจากเรื่องก่อนหน้านี้ที่ผมประกอบ PC ใหม่มีพี่ๆมาบอกว่าซื้อ Mainboard พิจารณา Chipset NB กับ SB ด้วยน่ะ ผมก็เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกันแต่ไม่เคยใส่ใจเท่าไหร่แต่ก็เชื่อพี่ๆเขาเพราะเขาคงเห็นว่ามันดีจึงแนะนำ เลยกลับมานั่งหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าจริงๆแล้วมันดียังไงเพราะ Chip ยิ่งสูงราคามันก็แพงเหมือนกันเลยต้องพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อมัน ทีนี้ใครจะเลือกประกอบคอมฯก็พิจารณาจาก Spec ที่เราได้ยินได้ฟังมาว่าศัพท์แต่ละคำมันหมายถึงอะไร

:: ตามที่ผมเข้าใจตอนนี้ ::

Northbridge >> The Northbridge usually contains the CPU interface and the memory controller.



Northbridge มันคือส่วนของชิปเซตที่ทำหน้าที่ติดต่อระหว่าง ซีพียู และ ส่วนควบคุมการเชื่อมต่อกับหน่วยความจำ (Control Interaction with Memory) , ส่วนควบคุม PCI , cache แบบ L2 ,ส่วนควบคุม AGP โดย Northbridge จะติดต่อกับ ซีพียู โดยผ่านทาง FSB

ชิบเซต North Bridge เป็นชิปเซตที่มีความสำคัญมากที่สุด มีหน้าที่ควบ คุมการ รับ / ส่งข้อมูลของซีพียูและแรม ตลอดจน
สล็อต AGP ที่ใช้แสดงผลรุ่นใหม่ ที่ทำงานด้วยความเร็วสูงปกติชิปเซตชนิดนี้ถูกปิดด้วยแผงระบายความร้อน
หรือบางตัวมีการ์ดแสดงผลอยู่ข้างในทำให้ต้องติดตั้งพัดลมเพิ่มเติมอีก ชิปเซตนี้ต้องระบายความร้อน
เนื่องจาก อุปกรณ์นี้ทำงานด้วยความเร็วสูงทำให้เกิดความร้อนขณะทำงาน

Southbridge >> contains at least a PCI controller, floppy/ IDE/ hard disk controllers, serial and parallel ports, USB support and power management functions.




Southbridge คือส่วนของชิปเซตที่จัดการเกี่ยวกับการรับ-ส่งข้อมูลภายนอก (input/output I/O) เช่น USB, serial , IDE, ISA โดย Southbridge จะส่งข้อมูลบน PCI Bus ของ Northbridge อีกต่อหนึ่ง

ชิปเซต South Bridge ชิปที่มีขนาดเล็กมากกว่า North Bridge ทำหน้าที่ควบคุมสล็อตของการ์ดอื่น ๆ ควบคุมดิสก์ไดร์ต่าง ๆ
รวมถึงอุปกรณ์ต่อพ่วงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคีร์บอร์ด ,เมาส์ ,หรือพอต ต่าง ๆ ที่อยู่หลังเครื่อง

Monday 27 September 2010

คนดีมีน้ำใจในสังคม


หายไปหลายวันเลยช่วงนี้ พอดีงานเข้าสุดๆเลยอาทิตย์ที่ผ่านมามีอะไรต้องสะสางเพียบเลยไม่มีเวลาลงมาเขียนบทความเท่าไหร่ แต่รอบอาทิตย์ที่ผ่านมามีเรื่องที่อยากมาเล่าและบอกต่อกันนิดหน่อย เรื่องมีอยู่ว่าผมจะประกอบ PC ใหม่ทดแทนเครื่องโบราณเกือบสิบปี ที่รอวันเผาอยู่ที่บ้าน ^^" คือถ้าอัพเกรดน่ะเปลี่ยนยกชุดเลยดีกว่า ก็จัดหนักเลยดีกว่าประกอบใหม่เลย ส่วนจอภาพ เมาส์ คีย์บอร์ด ใช้ของเดิมเพราะงบประกอบใหม่นั้นมีจำนวนจำกัดมากเลยต้องคิดจัดสเปคค่อนข้างนานหน่อย เพราะใจอยากจะได้แบบแรงส์ๆและทันเทคโนโลยีสักหน่อย คิดแล้วคิดอีกจนได้สเปคที่ต้องการ ก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทางไปซื้อแล้ว(ยังคิดน่ะว่าอยากได้สเปคสูงกว่านี้อ่ะ แต่ไม่มีตังว่ะ T_T) ตอนเข้าไปซื้ัอก็นั่ง TAXI เข้าไปเลยกะว่าให้ TAXI รอแล้วยกของขึ้นแล้วกลับเลย เพราะเราสั่งของไว้เรียบร้อยแล้ว

เอ้อขอเผยสเปคสักนิดเผื่อใครอยากประกอบคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเอาไว้ทำงานเล่นเกมส์(เกมส์แบบไม่เผาหัวมากกน่ะ)จะได้พิจารณากัน

เริ่มที่ Mainboard ก่อนผมเลือกเป็น AMD3 938 (VGA On) น่ะครับ (เพราะไม่มีงบซื้อการ์ดจอ) และอีกอย่าง VGA On board เดี๋ยวนี้ก็คุณภาพเยี่ยมเหมือนกันถ้าไม่เล่นเกมส์หนักๆน่ะ


  • Model : ASUS M4A88TD-M EVO/USB3
  • CPU Supports 45nm Socket AM3 ;Phenom™II /Athlon™II /Sempron™ 100 Series
  • ที่แจ่มหน่อยคือ Chipset AMD นั้นเป็น NB 880G/SB 850 ด้วยน่ะ
  • Dual Channel 4 x DDR3 2000(O.C.)/1600/1333/1066 ECC,Non-ECC
  • เอ่อแล้วมี USB 3.0 ports ที่จะมีการขนโอนถ่ายไำด้ไวมากขึ้นไปอีก

ต่อกันที่ CPU ผมเลือก AMD3 X4 Athlon II X4 640 Quad-Core Processor,Frequency : 3000 MHz


RAM ผมเลือก DDR3(1333) 2GB. Kingston 1 ตัว

HARDDISK 500GB SATA-II Western Buffer32MB, 300MB/s

และ Case เลือก ATX GVIEW Focus C 5080 จะมี อีก Power Supply มาให้แล้ว 550 W ในตัว Case และผมยังเลือกเอา UPS อีกตัวนึงไว้สำรองไฟเพราะไฟตกและดับบ่อยกลัวบอร์ดและซัพพลายเจ้งก่อนวัยอันควร

Tuesday 21 September 2010

Must Read!! 3G Technology ในปัจจุบัน (ตอนจบ)


และแล้วก็เดินทางมาถึงตอนจบ...กับบทสรุปของ 3G ตามที่ทิ้งท้ายไว้ในตอนที่แล้ว จุดเด่นที่สุดของคำว่า 3G คงหนีไม่พ้นความเร็วในการเชื่อมต่อ การติดต่อ และส่งข้อมูลครับ เน้นการเชื่อมต่อแบบ wireless (ไร้สาย) ด้วยความเร็วสูง

นอกจากนี้ยังเพิ่มประสิทธิภาพในส่งของการรับส่งข้อมูลจากเดิมให้เร็วขึ้น เน้นการติดต่ออย่างสมบูรณ์แบบ อย่างการ call conference, ประชุมทางไกล, การดาวน์โหลดภาพ เสียง clip Video เพลง ภาพยนตร์ หรือApplication ต่างๆ รวมถึงการติดต่อธนาคารทางโทรศัพท์ การโอนเงิน เช็คยอดเงิน ซื้อขายของ หาพิกัด ตรวจสอบเส้นทาง ซึ่งจะทำให้ชีวิตสะดวกสบายยิ่งขึ้น

  • 3G ทำให้เราสามารถติดต่อกันได้อย่างรวดเร็วฉับไว ย่อโลกในแคบลง 
  • เพิ่มความสะดวกสบายให้กับการดำเนินชีวิต ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจหลักของเทคโนโลยี 
  • อีกจุดเด่นของ 3G คือความสมจริง เปรียบเหมือนเป็นการใส่ความรู้สึกข้าไป ไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมืออิเลกทรอนิคส์ เช่น ไฟล์เสียงสมจริง (True tone) การแสดงภาพแบบ 3D หรือการติดต่อเชื่อมโยงต่างๆแบบ interactive 
  • และหัวใจหลักอย่างการเป็นระบบ Always on ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกับระบบอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราไม่พลาดการติดต่ออีกต่อไป
  • หากมองถึงตัวเครื่องโทรศัพท์ โทรศัพท์ที่รองรับในส่วนนี้ก็จะรองรับในการทำอะไรได้หลายๆในเครื่องเดียว อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือหลายๆรุ่นที่สามารถ ถ่ายภาพ ฟังเพลง Mp3 ดู Tv ผ่านเครือข่าย GPRS หรือ EDGE การจัดการข้อมูล (Organizer) การส่งผ่านข้อมูลในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็น IrDa Bluetooth Wi-Fi 
  • ส่วนในด้านของระบบในเมืองไทย ที่เห้นว่าใกล้เคียงมาตรฐาน 3G ก็คงจะเป็น การเชื่อมต่อผ่าน EDGE ซึ่ง ด้วยความเร็ว 118 K
เรามาดูมาตรฐานของ 3G กันหน่อยดีกว่า
มาตรฐาน 3G อยู่ 3มาตรฐาน ได้แก่ WCDMA wideband CDMA (WCDMA), CDMA2000 และ TD-SCDMA ใช้การแบ่งเวลา

1. WCDMA พัฒนามาจาก GSM และ TDMA (Time Division Multiple Access) ซึ่งทำให้ขยายแถบช่องสัญญาณได้ มากและกว้างขึ้น ปัจจุบันแพร่หลายในอเมริกาซึ่งพัฒนาระบบ 2G ไปเป็น EDGE-Enhance Data Rate for GSM ซึ่งเป็นอีกก้าวที่นำไปสู่ 3G คาดว่าระบบ WCDMA นี่จะถูกใช้งานมากที่สุดซึ่งตั้งเป้าหมายไว้แล้วถึง 60 ประเทศเป็นอย่างน้อย

2. CDMA 2000 ปัจจุบันพัฒนาไปถึงระบบ 1x EV-DO เป็นเทคโนโลยีที่มีจุดเด่นทางด้านการส่งข้อมูลความเร็วสูงครอบคลุมพื้นที่กว้าง 1xEV-DO เป็นระบบเดียวกับ CDMA ที่ได้รับการยอมรับจาก สมาพันธ์โทรคมนาคมระหว่างประเทศ ( ITU ) ให้เป็นเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐานการสื่อสารไร้สายยุค 3G ข้อดีของระบบนี้คือการใช้งานที่สะดวก ง่ายต่อการติดต่อและสามารถเชื่อมต่อได้หลายรูปแบบทั้ง โทรศัพท์มือถือ PDA Laptop PC โดยสามารถต่อแบบ ไร้สายได้

3. TD-SCDMA (Time Division-Synchronous Code Division Multiple Access) เป็นเครือข่าย CDMA อีกอย่างที่ถูกนำมาใช้เป็นระบบ 3G ที่ได้รับการรับรองโดย ITU ปัจจุบัน TD-SCDMA ถูกพัฒนาและเริ่มทดลองใช้งานแล้วในประเทศจีน

Monday 20 September 2010

Time management professional ตอนจบ


มาต่อกันในตอนที่ 2 คือตอนจบของเรื่องนี้สักทีทิ้งมาหลายวันมันไม่ต่อเนื่อง ความจริงก็อยากเขียนวันต่อวันแต่....Notebook ยังซ่อมไม่เสร็จเล้ยยยย!! เอาเหอะมาว่ากันต่อใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนที่ 1 กรุณากลับไปอ่านด้วยน่ะจะได้ไม่งง??? การที่ตัวเราอ้างว่า "ไม่มีเวลา" ทำโน่นทำนี่เหมือนคนอื่นเขาเราลองมามองปัญหาต้นเหตุกัน ดูซิว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง

สิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ให้เราลองเลิกนิสัยพวกนี้ซะ!!! แล้วจะมีวลามากขึ้นความสำเร็จก็จะมาเร็วขึ้นด้วย

"เลิกผัดวันประกันพรุ่ง"
"ดินพอกหางหมู"
นั่นแหล่ะตัวดีของการทำให้งานเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ไม่ต้องคิดถึงการทำงานหรอก ผมว่าแค่คิดถึงการซักผ้ากองโตที่อาทิตย์หนึ่งจะซักทีมันก็เยอะมากอยู่น่ะ

"เลิกขี้เกียจ"
จากเดิมวันหยุดเคยตื่น 8 โมงเช้า ลองตื่น 7 โมงเช้าดูซิ แล้วใช้ชีวิตตามปกติจะรู้ว่างานที่ขนมาทำที่บ้านเสร็จเร็วกว่าที่คาดไว้อีกแถมยังมีเวลาเหลือพอพักผ่อนทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ และครอบครัวอีกด้วย

"ไร้สาระให้น้อยลงอีกนิด"
ไอ้ประเภทชอบเจ๊าะแจ๊ะ มนุษยสัมพันธ์ดีเกินเหตุน่ะ เก็บๆเอาไว้บ้าง รอให้งานเสร็จก่อนแล้วค่อยเป็นปาร์ตี้วู้เม่น ปาร์ตี้แมน ต่อไม่มีใครว่า

Saturday 18 September 2010

Must Read!! 3G Technology ในปัจจุบัน (ตอนที่ 2)


สำหรับใครที่ติดตามอ่านเรื่องนี้ตอนที่1ไปแล้วคงจะต้องรีบติดตามกันอย่างต่อเนื่องเลย เพราะที่ผมต้องนำเสนอเรื่องนี้ให้ต่อเนื่องเพราะเดี๋ยวจะจับใจความกับเรื่องของ 3G ไม่ได้ ตอนที่แล้วพูดจบถึงยุค 2G และทิ้งท้ายไว้ว่าหลังจากยุค 2G แล้วมันไม่ได้กระโดดไป 3G เลยน่ะมันแตกออกมาเป็น...

:: ยุค 2.5G ::
  • ยุคนี้ก็เป็นยุคก้ำกึ่งระหว่าง 2G และ 3G ... ซึ่งก็คือ 2.5G
  • 2.5G นี้ เป็นยุคที่กำเนิดเทคโนโลยี GPRS (General Packet Radio Service) นั่นเอง ล
  • ตามหลักการแล้ว ... เทคโนโลยี GPRS นี้สามารถส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงสุดถึง 115 Kbps เลยทีเดียว 
  • แต่เอาเข้าจริงๆ ความเร็วของ GPRS จะถูกจำกัดให้อยู่ที่ประมาณ 40 kbps เท่านั้น
  • เทคโนโลยี 2.5G เรามีใช้กันมานานแล้ว ... ก็คือเป็นช่วงที่มีการเริ่มใช้ GPRS อย่างที่บอก ... ซึ่งในยุคนั้น ก็จะเป็นยุคที่เริ่มมีการใช้งานในส่วนของ Data มากขึ้น 
  • การส่งข้อความก็พัฒนาจาก SMS มาเป็น MMS ... โทรศัพท์มือถือก็เริ่มเปลี่ยนจากจอขาวดำมาเป็นจอสี 
  • เสียงเรียกเข้า จากเดิมที่เป็นเพียง Monotone ก็เปลี่ยนมาเป็น Polyphonic รวมไปถึง Truetone ต่างๆ ด้วย


:: เพิ่มเติมต่อยอดมาเป็นยุค 2.75G ::
  • ก่อนจะมาถึงยุค 3G เราก็ยังมี 2.75G ด้วยนะ 
  • เป็นช่วงที่เริ่มมีการใช้เทคโนโลยี EDGE (Enhanced Data rates for Global Evolution) นั่นเอง
  • EDGE นั้นถือเป็นเทคโนโลยีต่อยอดของ GPRS และถูกเรียกกันว่าเทคโนโลยียุค 2.75 G (อย่างไม่เป็นทางการ) 
  • ลักษณะการทำงานของ EDGE นั้นจะเป็นการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพความเร็วจากพื้นฐานของ GPRS ให้มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลได้สูงขึ้นนั่นเองครับ

** แต่ว่า ยุค 2.75G ของ EDGE นั้น ไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นอย่างเป็นทางการนะ เพียงแค่ยกขึ้นมาเปรียบเทียบช่วงคาบเกี่ยวระหว่างยุค 2.5G และ 3G เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น**

:: และแล้วก็เข้าสู่ยุค 3G ::
  • ต่อมา ... ก็ได้พัฒนามาเป็นระบบ 3G หรือ Third Generation ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 
  • จุดเด่นที่สุดของ 3G นั้น ... เป็นเรื่องของความเร็วในการเชื่อมต่อและการรับ-ส่งข้อมูล โดยเน้นการเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วยความเร็วสูง 
  • ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลต่างๆ รวดเร็วมากขึ้น 
  • พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการ Multimedia ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และ มีประสิทธิภาพแบบมากยิ่งขึ้น
  • เช่น การรับ-ส่ง File ที่มีขนาดใหญ่ , การใช้บริการ Video/Call Conference , Download เพลง , ดู TV Streaming ต่างๆ
  • ซึ่งถ้าเปรียบเทียบเทคโนโลยี 2G กับ 3G แล้ว ... 3G มีช่องสัญญาณความถี่ และ ความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่าเยอะเลย

Friday 17 September 2010

Must Read!! 3G Technology ในปัจจุบัน


คงไม่หยิบเรื่องของเทคโนโลยี 3G (Third Generation) มาพูดไม่ได้แ้ล้ว เพราะผมว่ามันจำเป็นต้องพูดต้องทำความเข้าใจกับมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ผมเห็นหลายๆเว็บก็มีข้อมูลเกี่ยวกับ 3G แบบเนื้อหาเน้นๆให้เราได้เข้าไปอ่านกันเพียบเลย แต่...ผมจะเอาเรื่องนี้มาพูดในอีกแนวนึง เอาไว้เผื่อใครไม่อยากอ่านรายละเอียดของมันแบบยาวๆแต่อยากจะได้แค่รู้ว่าสรุปแล้วมันคืออะไร มันเป็นมายังไงจะได้ไม่ตก Trend ไงจ๊ะ!!



เราลองมาดูกันคร่าวๆกันก่อนว่ากว่าจะมาเป็น 3G ว่ามันผ่านร้อนผ่านหนาวมายังไงบ้าง
:: ยุค 1G ::
  • ซึ่งเป็นยุคที่ใช้ระบบ Analog คือใช้สัญญาณวิทยุในการส่งคลื่นเสียง โดยไม่รองรับการส่งผ่านข้อมูลใดๆทั้งสิ้น
  • ซึ่งนั่นก็หมายความว่าสามารถใช้งานทางด้าน Voice (เสียง) ได้อย่างเดียว คือ โทรออก-รับสาย เท่านั้นไม่มีการรองรับการใช้งานด้าน Data ใดๆ ทั้งสิ้น.. 
  • แม้แต่การรับ-ส่ง SMS ก็ยังทำไม่ได้ในยุค 1G 
  • แต่จริงๆแล้ว ... ในยุคนั้น ผู้บริโภคก็ยังไม่มีความต้องการในการใช้งานอื่นๆ นอกจากเสียง (Voice) อยู่แล้ว
  • ปริมาณผู้ใช้โทรศัพท์มือถือยังอยู่ในขอบเขตที่จำกัดมาก และจะพบว่าผู้ใช้มักจะเป็นนักธุรกิจที่มีรายได้สูงเสียส่วนใหญ่

Monday 13 September 2010

จะเปลี่ยนมาใช้ OpenOffice.org ดีมั๊ย


หลายคนอาจจะเคยผ่านตามาแล้วเกี่ยวกับ Open Source Software ไม่ต้องที่ไหนหรอกครับบล็อกผมก็มีให้เห็นโจ่งแจ้งซะขนาดนั้น! เอาเป็นว่าเรามาเข้าวิน เอ้ยย!!! เข้าเรื่องกันเลย ผมจะเขียนถึง Software อยู่ตัวนึงที่เป็น Open Source เหมือนกัีนและ Function ของมันเชื่อว่าหลายๆคนไม่ว่าจะทำงานแล้วหรือเรียนอยู่จะต้องรู้จักและเคยใช้ Software จำพวก Office โปรแกรม Ofiice พวกนี้ที่ถูกหลอมให้เรานั้นใช้และชินกับมันมาตลอดคงจะหนีไม่้พ้นของค่าย Microsoft โดยมีชื่อที่เราถึงบางอ้อก็คือ Microsoft Ofiice (Word,Excel,Power Point) สิ่งเหล่านี้หลายๆคนรวมถึงผมด้วยโดนปลูกฝังมาตั้งแต่อนุบาล (เวอร์ไปป่าวว่ะ?) ว่าเวลาจะพิมพ์งาน สร้างเอกสาร ทำการนำเสนอให้ใช้โปรแกรมนี้น่ะ ชื่อนี้น่ะ แล้วอย่างนี้ไม่ให้มันฝังอยู่ในปอดเราได้ไง!!

การเปลี่ยนมาใช้ OpenOffice.org อาจจะมองว่าเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ที่ว่าง่ายนี้ทำให้หลายองค์กรเสียเวลา เสียกำลังคน เสียความรู้สึกมานักต่อนัก เพราะการคิดว่าการเปลี่ยนมาใช้ OpenOffice.org ไม่ได้ยาก โปรแกรมคล้ายๆ เดิม ความสามารถใกล้เคียง แค่อบรมก็สามารถใช้ได้ แต่ปัญหาที่ซ่อนอยู่นั้นมีมากเสียจนทำให้บางองค์กรต้องกลับมาใช้ Microsoft Office ดังเดิม



การนำ OpenOffice.org มาใช้ในองค์กร หลายคนคิดว่าอบรมก็เพียงพอ แต่แท้ที่จริงแล้วการอบรมเป็นปัจจัยที่จะก่อให้เกิดความสำเร็จเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มีหลายองค์กรจัดอบรมพนักงานทั้งองค์กร แต่ปัญหาคือผู้ใช้ก็ไม่ยอมใช้งาน ทำให้ต้องวางแผนกันใหม่ซื่งการจะทำให้ผู้ใช้ยอมใช้งานกลับยากขึ้นกว่าเดิม

Saturday 11 September 2010

Time management professional


รอเธอกลับมา ได้แต่รอและรอ และก็รอ.... และตอนนี้ผมก็ยังคงเฝ้ารอ Notebook คู่ใจกลับมาจากการเคลมที่ศูนย์บริการอยู่ เมื่อไหร่จะกลับมาสักที ตอนนี้งานที่ต้องทำมารอเข้าคิวบานเบอะแล้ว!! เออ...อีกอย่างไม่มีเอาไว้เล่น PES ด้วย (^_^")  แต่ก็เหมือนกับเรื่องที่จะเขียนโพสนี้เราจะใช้เวลาและบริหารเวลาให้คุ้มค่าและเป็นประโยชน์มากที่สุด ช่วงที่ Notebook ไำม่มีผมก็อาจจะกำหนดวางแผนออกแบบอะไรไปก่อนระหว่างรอเครื่อง Notebook มาเพื่อใช้เวลาให้มันเป็นประโยชน์มา่กที่ซู๊ดๆๆๆ...



อยากให้หนึ่งวันมี 48 ช.ม. คำบ่นติดปากของคนที่มีงานท่วมหัว จริงหรือที่เวลาของคุณมีไม่พอในการทำงานแต่ละวัน? ความคิดแบบนี้มันก็เคยเกิดขึ้นกับมทุกคนแหล่ะแต่...
ถ้าจริง...แล้วทำไมผู้บริหารอีกหลายคนถึงได้มีเวลาไปเดินทอดน่องชอปปิ้งที่ต่างประเทศ มีเวลา่ไปตีกอล์ฟ ในขณะที่คุณกำลังนั่งทำงานหัวบาน... อย่าบอกน่ะว่าเพราะเขามีเงินและเป็นเจ้านาย ผมก็เคยคิดแบบนี้ นั่นเป็นแค่ปลายเหตุเท่านั้น

Monday 6 September 2010

ทำความเข้าใจกับ Open Source Software


ตอนนี้ผมยังต้องอาศัยคอมฯเพื่อนอัพเดทบทความบนบล็อกอยู่เลย Notebook เข้าศูนย์แล้วตายยาวเลยไม่รู้มีการดึงเกมส์ไว้ด้วยรึป่าว!! เซ็ง!! T__T แต่ก็เอาเถอะรอก็รอ... เรามาลุยกันต่อกับหัวข้อนี้ที่จะเปิดประเด็นบรรยายสั้นๆแต่เน้นใจความกับ Open Source Software กัน หลายๆคนที่เีีัรียนหรือได้ทำงานด้านคอมพิวเตอร์อาจจะต้องรู้จักหรือเคยได้ยินชื่อนี้แน่นอน แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คลุกอยู่ในวงการนี้อาจจะเกิดข้อสงสัยหรืออาจจะยังไม่เข้าใจ เราจะมา Re-View กันอีกครั้ง เพราะบทความต่อๆไปที่ผมจะเขียนอาจเขียนถึงตัว Software ประเภทนี้จะได้อ่านแล้วไม่ต้องไปค้นหาอีกว่า... "มันคือไรว่ะ" ???


บ่อยครั้งที่จะถูกถามว่า ซอฟต์แวร์ Open Source คืออะไร??






ถ้าให้ตีความแบบบ้านๆก็คือ ซอฟต์แวร์ที่ให้ไปพร้อมกับซอร์สโค้ด
ซอร์สโค้ด คือ ซอฟต์แวร์ต้นฉบับ โดยจะต้องสามารถอ่านเข้าใจ และอยู่ในรูปแบบที่สามารถปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมได้



ผู้ใช้ซอฟต์แวร์ Open Source มีอิสระในการนำไปใช้ นำไปแจกจ่าย และปรับปรุงแก้ไข โดยจะคิดค่าใช้จ่ายหรือไม่ก็ได้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในการอนุญาต

ซอฟต์แวร์ Open Source ต่างกับซอฟต์แวร์อื่นอย่างไร?
* โดยทั่วไปรูปแบบของไลเซนต์ และการแจกจ่ายซอฟต์แวร์มีหลายรูปแบบ โดยสามารถจำแนกได้ตามเกณฑ์ 2 ด้าน คือ
1. การให้พร้อมซอร์สโค้ด
2. การคิดค่าใช้จ่าย

* ซอร์สโค้ด หมายถึง รหัสซอฟต์แวร์ต้นฉบับที่เขียนโดยภาษาระดับสูง ซึ่งแตกต่างจากไบนารีโค้ด เพราะซอฟต์แวร์ Open Source เปิดเผยโครงสร้าง และลอจิกของโปรแกรม
* ซอฟต์แวร์ที่ให้เฉพาะไบนารีโค้ดอย่างเดียว เรียกว่า ซอฟต์แวร์ปิด (closed source)

ไลเซนต์ Open Source ต่างกับไลเซนต์อื่นอย่างไร?

Saturday 4 September 2010

Firefox & Chrome ใครคือ 1st ของเบราว์เซอร์


ความเร็วของ Chrome เบราว์เซอร์เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามจาวาสคริปต์ที่เบราว์เซอร์ทุกตัวต้องลงมาเล่น ทำให้เบราว์เซอร์พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในรอบสองปีให้หลัง โดยเราจะเห็นได้จากข่าวบนอินเตอร์เน็ตจากหลายเว็บที่พูดถึงประสิทธิภาพของแต่ละเบราว์เซอร์ตัวผมเองก็จดจ่อรอดูผลลงานแบบไม่ปล่อยเลยเหมือนกันรู้สึกสนุกและมันส์ดีที่ได้เห็นการแข่งขันทางด้านเทคโนโลยี

หลายคนที่อ่านบล็อกของผมคงรู้ดีว่าผมเป็นแฟนของหมาป่าไฟ (Firefox) แต่ผมก็ใช้เบราว์เซอร์ตัวอื่นเหมือนกันแต่ที่ใช้น้อยมากถึงน้อยยยยที่สุดก็น่าจะเป็น IE ของค่าย Microsoft น่ะ แต่เบราว์เซอร์ตัวที่มาแรงส์จะแซงทางโค้งกับหมาป่าไฟ สำหรับผมคิืดว่าเป็น Chrome เบราว์เซอร์ของค่าย Google ที่มีการเปิดตัวและโฆษณากันแหลกตัวนี้แหล่ะที่น่าจับตามอง



:: ความเห็นและสิ่งที่ชอบสำหรับ Chrome ::
  • เจอการเปิดตัวแบบซัลโวเลยไปโหลดมาลองใช้ดู (ความจริงผมก็โหลดมาใช้เกือบทุกตัวแหล่ะ เพื่อทดสอบ) 
  • ลองใช้แรกแ้ล้วยังรู้ว่ามันโหลดหน้าเว็บไวพอกับหมาป่าไฟ แต่ใช้มาได้หลายเดือนแ้ล้วรู้สึกมันจะไวกว่าหมาป่าไฟเราหว่ะ 555
  • Chrome รวม Flash Player มาให้ในตัว ไม่ต้องดาวน์โหลดเพิ่ม
  • Flash Player จะอัพเดตตัวเองผ่านตัวอัพเดตของ Chrome โดยอัตโนมัติ
  • Flash จะถูกรันในโหมด sandbox ของ Chrome ทำให้ปลอดภัยขึ้น

Friday 3 September 2010

My Favorite Celebrities


ต้องขอบอกก่อนว่าผมไม่ค่อยได้ติดตามละครหลังข่าวหรือละครอะไรทั้งนั้นเพราะอย่างที่รู้ๆกันติดเกมส์ฟุตบอลเข้าเส้นขนาดนี้ ถึงไม่ได้เล่นเกมส์ก็นั่งเล่นเน็ต,อ่านหนังสือการ์ตูน มากกว่านั่งดูละครทีวี นานๆจะติดตามบ้างถ้าเป็นเรื่องที่รู้สึกว่ามันให้แง่คิดดีๆ เพื่อจะได้มาปรับใช้หรือเป็นอุทาหรณ์ในการดำเนินชีวติก็ติดตามเหมือนกัน

แต่วันนั้นเกิดพายุพัด ฟ้าถล่มยังไงไม่รู้ นอนดูละครแบบไม่ได้ตั้งใจดูหรอกเจอละครเรื่อง สวรรค์สร้าง ที่มีพระเอก ซี ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ พระเอกคนนี้ผมชอบที่เขาแสดงเรื่อง อุ่นไอรัก แต่ประเด็นของบทความนี้อยู่ตรง นางเอกครับ ^^




นางเอกคนนี้ใครที่เป็นแฟนๆละครคงคุ้นและรู้จักเธอแน่นอน แต่ผมไม่เคยได้ติดตามละครเมื่อเห็นเธอครั้งแรกก็แอบงงว่านางเอกคนนี้ชื่ออะไรและคือผู้ได๋หว่าาา... เพราะรู้สึกว่าผมเห็นแล้วแบบประมาณว่า



นางเอกคนนี้งามมหว่ะ เลยนั่งดูละครนั้นจนจบ หลังจากคืนนั้นเช้ามาเข้า Google หาข้อมูลด่วนเลยว่า เธอคือใคร...จึงทราบข้อมูลนิดๆหน่อยๆดังนี้

น้องเค้าชื่อ พีชญา วัฒนามนตรี

ชื่อเล่นชื่อน้อง มิน

Thursday 2 September 2010

เจาะความเป็น Toy Story 3 - 3D


จากหนังเรื่อง Toy Story 3 ที่กำลังฉายอยู่ขณะนี้เราจะมาเปิดประเด็นพูดกันถึงเรื่อง การใช้การเล่าเรื่อง,การจัดฉากและเทคโนโลยีใหม่ๆในการสร้างประสบการณ์การชมภาพยนตร์ที่น่าตื่นตาตื่นใจกันดีกว่าเพราะผมคิดมันน่าจะเป็นจุดของของภาพยนต์เลยก็ว่าได้

“Toy Story 3” ได้ยกระดับมาตรฐานสำหรับการสร้างและจัดฉายภาพยนตร์ 3D และใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในการเพิ่มเติมความลึกและมิติเข้าไปในเรื่อง
สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รู้มาว่าทีมงานพิกซาร์ได้ขัดเกลาและบุกเบิกความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี 3D ล่าสุด

เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของพวกเขาด้วยภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ และความเป็น 3D จะช่วยเสริมสร้างประสบการณ์การชมภาพยนตร์ให้มีอรรถรสขึ้น

มาอ่านบทสัมภาสกันบ้าง



เรามักจะใช้ 3D เป็นหน้าต่างไปสู่โลก เพื่อที่ผู้ชมจะสามารถสัมผัสสิ่งต่างๆ ได้แบบมีมิติ” อังค์ริชบอก

“เราได้จำลองและเรนเดอร์ ‘Toy Story’ และ ‘Toy Story 2’ ใหม่เป็น 3D และแม้ว่าทั้งสองเรื่องจะไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เป็น 3D แต่มันก็ให้ความรู้สึกแบบนั้นซึ่งเรื่องนั้นก็เป็นเพราะเราได้จัดองค์ประกอบความลึกภายในภาพ 2D ของเราอยู่ก่อนแล้ว สำหรับ ‘Toy Story 3’ เป้าหมายของผมคือการบอกเล่าเรื่องราวที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้และเซ็ทแอ็กชันให้โลดแล่นเคลื่อนไหวมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วย”

อังค์ริชกล่าวเสริมว่า “เราเจอความท้าทายน่าสนใจใน ‘Toy Story 3’ เพราะเครื่องไม้เครื่องมือและเทคโนโลยีได้พัฒนาขึ้นมาเยอะทีเดียวนับตั้งแต่ ‘Toy Story 2’

นอกเหนือจากนั้นระดับความสามารถของทีมงานที่สตูดิโอก็เพิ่มขึ้นมากด้วย ตอนนี้หนังที่เราสร้างมีภาพที่สวยสดงดงามจริงๆ ผมไม่อยากให้ ‘Toy Story 3’ ให้ความรู้สึกว่ามันเป็นโลกที่ถูกดีไซน์มาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงมันยังคงเป็น ‘Toy Story’ อยู่ก็จริงแต่ผมก็อยากจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและฝีมือที่เรามีอยู่ในขณะนี้ผมเชื่อว่าเราได้สร้างหนังที่จะเข้ากันได้ดีกับสองภาคแรก แต่ก็ดูดีกว่าเยอะในหลายๆทางขึ้นมาครับ”



“ในฐานะสตูดิโอเรายังคงโฟกัสไปที่การบอกเล่าเรื่องราวที่เยี่ยมที่สุดเท่าที่เป็นไปได้อยู่ครับ” ไวท์ฮิลกล่าวต่อ “ลี [อังค์ริช] และทีมงานของเขาทำให้เราดูเหมือนอัจฉริยะด้าน 3D เพราะภาพออกมาสวยเหลือเกิน

ภาพ 3D พวกนั้นให้ความรู้สึกสมจริงและเป็นธรรมชาติมากๆในหลายๆ แง่มุม มันเหมือนเวทีละครที่คุณมองเข้าไปในโลกใบนี้ ใน ‘Toy Story 3’ กลุ่ม 3D ได้เรียนรู้ที่จะผลักดันสิ่งต่างๆ มากขึ้นไปอีกแต่ก็ไม่มากจนถึงขั้นที่ผู้ชมจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนพวกเขาจะได้สัมผัสกับมิติที่มากขึ้นและความลึกที่มากขึ้นแต่มันถูกสร้างขึ้นในลักษณะที่สวยงามจนมันให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติและเรียบง่ายมากๆตอนที่ผมได้ดูหนังเรื่องใน 3D ผมรู้สึกเหมือนผมอินมากขึ้นมันน่าติดตามและสมจริงยิ่งขึ้น”

ไวท์ฮิลยืนยันว่าหนึ่งในสิ่งที่เขาชอบมากที่สุดใน “Toy Story 3” คือการให้แสง “มันสวยครับ” เขากล่าว “แล้วการกระจายแสงตามพื้นผิวและในอาการในแต่ละช็อตจะช่วยเสริมสร้างความรู้สึกด้านสเกลได้มากขึ้นหลายๆ ช็อตเป็นงานกล้องที่วางตำแหน่งได้ดีเหลือเกิน

Wednesday 1 September 2010

การจะไปถึงเป้าหมาย บางครั้งต้องยอมหูหนวกบ้าง


ช่วงนี้หายไปไม่ได้เขียนหลายวันเลย เพราะ Lenovo Notebook คู่ใจเข้าไปรักษาตัวที่ศูนย์ของมันอย่างเป็น ทางการแล้ว หลังจากที่ผมยื้อมันอยู่นาน (ส่ง Notebook เคลมศูนย์) แต่ก็ที่เขียนได้ก็อาศัยเครื่องอื่นอัพแทนชั่วคราว แต่การส่ง Notebook ซ่อมมันมีประโยชน์เหมือนกันน่ะ ก็ตรงที่มันจะทำให้ผมรู้จักการอดทนรอคอยไงล่ะ เชื่อว่าหลายคนที่เคยส่งเครื่องเข้าศูนย์เพื่อซ่อมก็คงจะเซ็งกับการรอแน่นอน
ความจริงก็ถ้าไม่ร้ายแรงอะไรมากก็ไม่อยากส่งซ่อมหรอก แต่มันไม่ไหวแล้วและอีกอย่างซื้อมาเขาก็มีรับประกันก็ต้องใช้บริการหน่อย ทางศูนย์เขาจะได้ไม่เสียน้ำใจ กร๊ากก++


:: ได้แง่คิดอะไร ::

  • ทำให้ผมได้รู้ว่าการรอคอยมันช่างทรมานจริงๆ 555
  • สอนให้ตัวเองยอมรับว่าไม่มีสิ่งใดที่เราอยากจะได้มา แล้วมันได้ตอนนั้น เดี๋ยวนั้นเลยซะที่ไหน
  • นึกถึง "ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม" เสมอ (แต่ก็อดคิดไม่ได้อยู่ดีว่า เมื่อไหร่ Notebook ตรูจะเสร็จหว่ะ)

เข้าเรื่องของบทความนี้ดีกว่า

ที่บอกว่า การจะไปถึงเป้าหมาย บางครั้งต้องยอมหูหนวกบ้าง นั้นวันนี้ผมมีนิทานเรื่องนึงที่จะมาให้แง่คิดอย่างดีเลยทีเดียวในเรื่องนี้