คงไม่หยิบเรื่องของเทคโนโลยี 3G (Third Generation) มาพูดไม่ได้แ้ล้ว เพราะผมว่ามันจำเป็นต้องพูดต้องทำความเข้าใจกับมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ผมเห็นหลายๆเว็บก็มีข้อมูลเกี่ยวกับ 3G แบบเนื้อหาเน้นๆให้เราได้เข้าไปอ่านกันเพียบเลย แต่...ผมจะเอาเรื่องนี้มาพูดในอีกแนวนึง เอาไว้เผื่อใครไม่อยากอ่านรายละเอียดของมันแบบยาวๆแต่อยากจะได้แค่รู้ว่าสรุปแล้วมันคืออะไร มันเป็นมายังไงจะได้ไม่ตก Trend ไงจ๊ะ!!
เราลองมาดูกันคร่าวๆกันก่อนว่ากว่าจะมาเป็น 3G ว่ามันผ่านร้อนผ่านหนาวมายังไงบ้าง
:: ยุค 1G ::
- ซึ่งเป็นยุคที่ใช้ระบบ Analog คือใช้สัญญาณวิทยุในการส่งคลื่นเสียง โดยไม่รองรับการส่งผ่านข้อมูลใดๆทั้งสิ้น
- ซึ่งนั่นก็หมายความว่าสามารถใช้งานทางด้าน Voice (เสียง) ได้อย่างเดียว คือ โทรออก-รับสาย เท่านั้นไม่มีการรองรับการใช้งานด้าน Data ใดๆ ทั้งสิ้น..
- แม้แต่การรับ-ส่ง SMS ก็ยังทำไม่ได้ในยุค 1G
- แต่จริงๆแล้ว ... ในยุคนั้น ผู้บริโภคก็ยังไม่มีความต้องการในการใช้งานอื่นๆ นอกจากเสียง (Voice) อยู่แล้ว
- ปริมาณผู้ใช้โทรศัพท์มือถือยังอยู่ในขอบเขตที่จำกัดมาก และจะพบว่าผู้ใช้มักจะเป็นนักธุรกิจที่มีรายได้สูงเสียส่วนใหญ่
:: เข้าสู่ยุค 2G ::
หลังจากนั้น ก็ได้พัฒนาต่อมาเป็นยุค 2G ... ซึ่งเปลี่ยนจากการส่งคลื่นทางคลื่นวิทยุแบบ Analog มาเป็นการเข้ารหัส Digital ส่งทางคลื่น Microwave ซึ่งในยุคนี้เอง เป็นยุคที่เริ่มทำให้เราเริ่มที่จะสามารถใช้งานทางด้าน Data ได้ นอกเหนือจากการใช้งาน Voice เพียงอย่างเดียว
- ในยุค 2G นี้เราสามารถ รับ-ส่งข้อมูลต่างๆและติดต่อเชื่อมโยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดการกำหนดเส้นทางการเชื่อมกับสถานีฐาน หรือที่เรียกว่า cell site
- ก่อให้เกิดระบบ GSM (Global System for Mobilization) ซึ่งทำให้เราสามารถถือโทรศัพท์เครื่องเดียวไปใช้ได้เกือบทั่วโลก หรือที่เรียกว่า Roaming
- ยุค 2G นี้ ถือเป็นยุคเริ่มต้นแห่งการเฟื่องฟูของโทรศัพท์มือถือเลย
- ราคาของโทรศัพท์มือถือเริ่มต่ำลง (กว่ายุค 1G)
- ทำให้ปริมาณผู้ใช้โทรศัพท์มือถือมีมากขึ้น
- ซึ่งการส่งข้อมูลของยุค 2G นี้ เป็นยุคที่มีการเริ่มฮิต Download Ringtone , Wallpaper , Graphic ต่างๆ
- แต่ก็จะจำกัดอยู่ที่การ Downlaod Ringtone แบบ Monotone และ ภาพ Graphic ต่างๆก็เป็นเพียงแค่ภาพขาว-ดำที่มีความละเอียดต่ำเท่านั้น
ในยุค 2G ก่อนอื่น ต้องเข้าใจหลักของ GSM ว่าต่างจาก CDMA ยังไง??
อธิบายง่ายๆ เลย เพราะ GSM เป็น TDMA แต่ CDMA จะเป็น CDMA (ตามชื่อ)
- TDMA -Time division จัดสรรคลื่น ออกเป็น 8 time slot (จะใช้ กี่ time slot ก็ว่ากันไป)
- Voice กับ Data จะใช้ ไม่เท่ากัน ตามแต่ Operator จะจัดสรร
- ความเร็วที่ให้บริการจะไม่เท่ากัน และขึ้นกับ GRPS CLASS ของมือถือตัวนั้นๆ
- ส่วน EDGE ก็คือการพัฒนาให้ 1 time slot สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้เพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่า
- ดังนั้น Top speed ทางtheory จะได้ 400 กว่า kbps (จำไม่ค่อยได้) ส่วน GPRS จะใช้ได้แค่ 171 kbps กว่าๆ แต่ใช้งานจริงก็อีกเรื่อง(หาร 3 เอาก็ได้)
ยังครับในยุค 2G มันยังไม่พัฒนาไป 3G เลยมันยังมีรุ่น 2. พัฒนาต่อกันมาอีกแต่เอาไว้ก่อนครับค่อยๆเรียนรู้เป็น Step ไปจะได้มีเวลาได้ทำความเข้าใจกันสักหน่อย(_ ___"???)