Saturday 18 September 2010

Must Read!! 3G Technology ในปัจจุบัน (ตอนที่ 2)


สำหรับใครที่ติดตามอ่านเรื่องนี้ตอนที่1ไปแล้วคงจะต้องรีบติดตามกันอย่างต่อเนื่องเลย เพราะที่ผมต้องนำเสนอเรื่องนี้ให้ต่อเนื่องเพราะเดี๋ยวจะจับใจความกับเรื่องของ 3G ไม่ได้ ตอนที่แล้วพูดจบถึงยุค 2G และทิ้งท้ายไว้ว่าหลังจากยุค 2G แล้วมันไม่ได้กระโดดไป 3G เลยน่ะมันแตกออกมาเป็น...

:: ยุค 2.5G ::
  • ยุคนี้ก็เป็นยุคก้ำกึ่งระหว่าง 2G และ 3G ... ซึ่งก็คือ 2.5G
  • 2.5G นี้ เป็นยุคที่กำเนิดเทคโนโลยี GPRS (General Packet Radio Service) นั่นเอง ล
  • ตามหลักการแล้ว ... เทคโนโลยี GPRS นี้สามารถส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงสุดถึง 115 Kbps เลยทีเดียว 
  • แต่เอาเข้าจริงๆ ความเร็วของ GPRS จะถูกจำกัดให้อยู่ที่ประมาณ 40 kbps เท่านั้น
  • เทคโนโลยี 2.5G เรามีใช้กันมานานแล้ว ... ก็คือเป็นช่วงที่มีการเริ่มใช้ GPRS อย่างที่บอก ... ซึ่งในยุคนั้น ก็จะเป็นยุคที่เริ่มมีการใช้งานในส่วนของ Data มากขึ้น 
  • การส่งข้อความก็พัฒนาจาก SMS มาเป็น MMS ... โทรศัพท์มือถือก็เริ่มเปลี่ยนจากจอขาวดำมาเป็นจอสี 
  • เสียงเรียกเข้า จากเดิมที่เป็นเพียง Monotone ก็เปลี่ยนมาเป็น Polyphonic รวมไปถึง Truetone ต่างๆ ด้วย


:: เพิ่มเติมต่อยอดมาเป็นยุค 2.75G ::
  • ก่อนจะมาถึงยุค 3G เราก็ยังมี 2.75G ด้วยนะ 
  • เป็นช่วงที่เริ่มมีการใช้เทคโนโลยี EDGE (Enhanced Data rates for Global Evolution) นั่นเอง
  • EDGE นั้นถือเป็นเทคโนโลยีต่อยอดของ GPRS และถูกเรียกกันว่าเทคโนโลยียุค 2.75 G (อย่างไม่เป็นทางการ) 
  • ลักษณะการทำงานของ EDGE นั้นจะเป็นการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพความเร็วจากพื้นฐานของ GPRS ให้มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลได้สูงขึ้นนั่นเองครับ

** แต่ว่า ยุค 2.75G ของ EDGE นั้น ไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นอย่างเป็นทางการนะ เพียงแค่ยกขึ้นมาเปรียบเทียบช่วงคาบเกี่ยวระหว่างยุค 2.5G และ 3G เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น**

:: และแล้วก็เข้าสู่ยุค 3G ::
  • ต่อมา ... ก็ได้พัฒนามาเป็นระบบ 3G หรือ Third Generation ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 
  • จุดเด่นที่สุดของ 3G นั้น ... เป็นเรื่องของความเร็วในการเชื่อมต่อและการรับ-ส่งข้อมูล โดยเน้นการเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วยความเร็วสูง 
  • ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลต่างๆ รวดเร็วมากขึ้น 
  • พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการ Multimedia ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และ มีประสิทธิภาพแบบมากยิ่งขึ้น
  • เช่น การรับ-ส่ง File ที่มีขนาดใหญ่ , การใช้บริการ Video/Call Conference , Download เพลง , ดู TV Streaming ต่างๆ
  • ซึ่งถ้าเปรียบเทียบเทคโนโลยี 2G กับ 3G แล้ว ... 3G มีช่องสัญญาณความถี่ และ ความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่าเยอะเลย

3G ก็จะเอาข้อดีของ CDMA มาใช้ โดยขยาย bandwidth (spread spectum) ออกเป็น 5 MHz หรือที่เรียกว่า WCDMA (จะใช้ UMTS ก็ได้ คือๆ กัน)
  • โดยมี max อยู่ที่ 2 Mbps (เงื่อนไขคือ ไม่เคลื่อนที+่ อยู่ในตึก +ใช้ picocell +และไม่มีคนอื่นมา share) 
  • แต่ average ที่ใช้จริงๆ จะอยู่ที่ 384 kbps CDMA - Code division จัดสรรคลื่นรวมกันไป โดยแบ่ง code ใคร code มัน(ภายใต้ คลื่นความถี่เดียวกัน) เหมือนกับในห้องประชุม ผู้ร่วมประชุมต่างชาติ ต่างภาษา คุยกันมากมาย แต่ชาติเดียวกันภาษาเดียวกัน ก็จะคุยกันรู้เรื่อง speed การใช้งานจะอยู่ประมาณ 151 kbps (มั้งจำไม่ค่อยได้ครับ) 
  • โดยข้อดีของ CDMA อื่นเรื่องคือการ hand-off จะทำได้ดีกว่า GSM มาก (hand-off คือการส่งไปให้ cell site อื่นรับงานต่อ กรณีเราเคลื่อนที่อยู่) โดยฝั่ง CDMA พอปรับมาเป็น 3G ก็จะมาเป็น CDMA 2000-1x, CDMA 2000-1x EVDV และ EDVO ครับ (ยังไม่รวม 3x-RTT ด้วย)

*****คุณสมบัติหลักที่เด่นๆ อีกอย่างหนึ่งของระบบ 3G ก็คือ Always On ... คือ มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดโทรศัพท์ด้วย*****

ปล. ตอนต่อไปคงจะถึงตอนจบสักทีก็จะพูดถึงมาตรฐาน จุดเด่น และบทสรุปของเทคโนโลยีนี้ ตั้งแต่ยุค 1G เป็นต้นมา